การทำโฆษณา Google Ads ให้มีประสิทธิภาพจะสามารถช่วยลดต้นทุนโฆษณาได้ ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนของการทำ Google Ads ไม่ว่าคุณจะลงโฆษณา Google Ads ด้วยตัวเองอยู่ หรือใช้บริการรับทำ Google Ads ก็ควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าสิ่งที่ทาง Pacy Media จะแชร์ในบทความนี้ได้ถูกนำไปใช้กับแคมเปญของคุณแล้ว
วันนี้จะมาแชร์ 4 เรื่องด้วยกัน พร้อมแล้วก็มาเริ่มกัน! หรือหากคุณกำลังทำ Google Ads อยู่แล้วต้องการให้ Pacy Media ช่วยทำ Google Ads Campaign Audit ฟรี ก็ลองแจ้งเรามาได้เลย!
1. ปรับ Quality Score ให้สูงขึ้น
Quality Score (QS) หรือ คะแนนคุณภาพ เป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้กำหนดต้นทุนต่อคลิก (CPC) ยิ่งคะแนนสูง ค่าโฆษณายิ่งถูกลง เช่น ถ้าเว็บไซต์ A มี Quality สูงกว่าเว็บไซต์ B ค่าโฆษณาหรือ CPC ของเว็บไซต์ A มีโอกาสต่ำกว่าหากแข่งขันในอันดับใกล้เคียงกัน
โดยวิธีที่สามารถทำให้ Quality Score สูงขึ้นก็สามารถปรับได้ตามนี้
- เลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาและหน้า Landing Page
- ปรับแต่ง CTR (Click Through Rate) โดยใช้ ข้อความโฆษณาที่น่าดึงดูด ตรงกับคำค้นหา
- ใช้ Ad Extensions หรือ Ad Asset เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมบนโฆษณา เช่น Callout, Site Links และ Structure Snippet
- ทำให้หน้า Landing Page โหลดเร็ว และมีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา ตอบโจทย์ Search Intent
2. ปรับ Bidding Strategy ให้เหมาะกับเป้าหมาย
การทำโฆษณา Google Ads ให้เวิร์คต้องเข้าใจเรื่องการใช้ Bidding Strategy หรือ กลยุทธ์การประมูล เพราะจะเป็นตัวบอกระบบว่าแนวทางในการทำโฆษณาควรจะเป็นแบบไหน ควรจะไปโฟกัสที่อะไร ซึ่งแต่ละกลยุทธ์ต้องเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละประเภทธุรกิจ เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง Bidding Strategy ที่สามารถนำมาใช้ในแคมเปญได้
- Maximize Conversions – ให้ระบบจัดสรรงบประมาณเพื่อให้เกิด Conversion สูงสุด
- Target CPA (Cost Per Action) – กำหนดค่าใช้จ่ายต่อ Conversion เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้
- Target ROAS (Return on Ad Spend) – เหมาะกับธุรกิจที่มีการซื้อขายบนเว็บไซต์ และต้องการคุมตัวเลข ROAS ให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุด
3. ใช้ประเภท Keyword ให้เหมาะสม
ประเภทของ Keyword ก็มีผลโดยตรงต่อต้นทุนในการ ทำโฆษณา Google Ads ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพราะแต่ละ Keyword ก็จะไปจับคำค้นหาที่ลูกค้าใช้แตกต่างกัน ซึ่งต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมเพราะถ้าแคบเกินโฆษณาก็อาจจะไม่ทำงาน หรือถ้ากว้างเกินก็อาจออกทะเลได้ ซึ่งทาง Pacy Media เองก็จะต้องดูว่าธุรกิจของลูกค้าคืออะไร มีเป้าหมายอย่างไร เราจึงวางโครงสร้างแคมเปญด้วยประเภท Keyword ที่เหมาะสม
- Exact Match: อาจใช้งบโฆษณาน้อยกว่า เพราะจะตรงมาก แต่จำนวน Traffic อาจไม่เยอะ
- Phrase Match: ครอบคลุมคำที่ใกล้เคียง ยังคงความแม่นยำ แต่ต้องมอนิเตอร์อย่างสม่ำเสมอเพราะมีโอกาสไม่ตรงได้อยู่
- Broad Match: สามารถเก็บคำค้นหาที่ใกล้เคียง และอาจขยับออกไปในกลุ่มที่กว้างขึ้น ซึ่งมีโอกาสที่งบโฆษณาจะถูกใช้ไปกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ตรง อาจทำให้ CTR ต่ำได้
4. ติด Conversion Tracking เพื่อเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ให้ลึกขึ้น
หากคุณกำลังลงโฆษณา Google Ads อยู่ แต่ไม่มีการติดตั้ง Conversion Tracking คุณจะไม่สามารถวัดผลลัพธ์ของ Google Ads ได้อย่างชัดเจน เพราะจะสามารถดูได้แค่ว่ามีคนคลิกเข้ามาเท่าไหร่ ใช้งบโฆษณาไปเท่าไหร่ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการพัฒนาแคมเปญ และ Optimize เพื่อให้ตุ้นทุนถูกลง
มีตัวเลขมากมายที่สามารถวัดผลได้จากระบบ Google Ads และจากการทำ Conversion Tracking
- CTR: บอกว่าโฆษณาน่าสนใจมากแค่ไหน ดูในได้ Google Ads
- Impression Share: ส่วนแบ่งการแสดงโฆษณา ดูได้ใน Google Ads
- Conversion Rate (CR): อัตราการเกิด Conversion ถ้าไม่ติดตั้ง Conversion Tracking จะดูไม่ได้
- CPA (Cost Per Acquisition): ต้นทุนต่อการเกิด Conversion ถ้าไม่ติดตั้ง Conversion Tracking จะดูไม่ได้
- Website Engagement Rate: การมีส่วนร่วมบนเว็บไซต์หลังจากที่ผู้ใช้คลิกเข้าไปจากโฆษณา สามารถดูได้ถ้าติดตั้ง Conversion Tracking และ ติดตั้ง Google Analytics
การทำโฆษณา Google Ads ไม่สามารถเซ็ตทีเดียวแล้วเปิดยาว ๆ ได้เลย ควรมีผู้ที่เชี่ยวชาญทั้งด้านการใช้เครื่องมือ การจัดเก็บและใช้ Data และ การเลือกใช้กลยุทธ์ในแต่ละเคสเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนโฆษณาถูกลง ซึ่งหมายถึง ในงบโฆษณาเท่าเดิมอาจได้ Conversion เพิ่มมากขึ้น
หากต้องการให้ Pacy Media ช่วยทำ Google Ads Campaign Audit ฟรี หรือสนใจให้ทีมงานของเรามาช่วยดูแลแคมเปญของคุณต่อ ก็สามารถติดต่อเราเพื่อลองมาพูดคุยขอคำแนะนำกันก่อนได้เลย!
แชร์ความรู้นี้บน Social Media