จากการที่ทาง Pacy Media ได้ให้บริการลูกค้าองค์กร และธุรกิจ SME ที่ผ่านมา ปัญหาที่เจออยู่บ่อยๆ คือ ลูกค้า ไม่รู้ว่าโฆษณาบน Facebook กับ Google AdWords (Google Search Engine Marketing) แตกต่างกันอย่างไร!
อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่นั่นหมายถึงคุณไม่รู้ จุดประสงค์ ของการโฆษณาแต่ละช่องทาง ซึ่งจะทำให้ผลการโฆษณาไม่มีประสิทธิภาพ ตั้ง KPI ไม่ตรงตามที่มันควรจะเป็น
บทความนี้เราจะพาคุณมาหาคำตอบว่า โฆษณา Facebook กับ Google และมีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้าง
โฆษณา Facebook กับ Google ต่างกันอย่างไร
โฆษณา Facebook
- เป็น Push Marketing (หว่าน)
- ธุรกิจทำเงินได้โดย Demand Generation (สร้างความต้องการ)
- พูดง่ายๆ คือผู้ใช้ Facebook ยังไม่มีความต้องการในสินค้านั้นๆ
- ผู้ใช้เห็นโฆษณา 1 ครั้งจะยังไม่ซื้อ อาจซื้อเมื่อเห็นครั้งที่ 3-4
- สร้างคุณค่าได้โดย Content ของเพจ
โฆษณา Google Ads
- เป็น Pull Marketing (ตั้งรับ)
- ธุรกิจทำเงินได้โดย Demand Fulfilment (ตอบสนองความต้องการ)
- พูดง่ายๆ คือคนที่เข้ามาค้นหาบน Google ล้วนแต่มีความต้องการแล้ว
- ผู้ใช้ต้องการข้อมูลในการตัดสินใจทันที หากใครให้ข้อมูลตามที่ลูกค้าต้องการ ก็เอาเงินไปเลย
- สร้างคุณค่าได้โดยเนื้อหาบน Landing Page (หรือหน้าที่เชื่อมไปหลังจากคลิกบน Google)
จากการเปรียบเทียบด้านบน สังเกตได้ว่าไม่มีอะไรดีกว่าอะไร ทั้งหมดอยู่ที่ว่า จุดประสงค์ในการโฆษณาคืออะไร? สินค้า/บริการเป็นประเภทไหน? กลยุทธ์การตลาดของธุรกิจคุณเป็นแบบไหน? มาลองทำ Workshop ของ 2 ธุรกิจนี้ดูกันครับ
Mini Workshop
เคสที่ 1: ร้านขายขนมปัง นม เนย ย่านรัชดา
ก่อนอื่นลองถามตัวเองดูว่าคนที่จะมากินขนมปังร้านคุณ เค้ามาเพราะอะไร (เอาเฉพาะออนไลน์ ไม่นับเดินผ่านหน้าร้าน)
- บางส่วนค้นหาบน Google เพราะอยากกินทันที ร้านอะไรก็ได้ ขอแค่มีขนมปัง นม เนยก็เป็นพอ
- บางส่วนมาตามที่เพื่อน Share บน Facebook
การทำการโฆษณาสำหรับธุรกิจประเภทนี้ควรลงทั้ง Facebook และ Google แต่ให้โฟกัสไปที่การสร้าง Content บน Facebook มากกว่า เช่นแบ่งงบโฆษณา Facebook 80% และ Google 20% หรือหากลงโฆษณาไปสักระยะสังเกตได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่มาจาก Facebook ก็สามารถลงงบ 100% ไปที่ Facebook เลยก็ได้
โดยโฆษณา Google นั้น สามารถกำหนดพื้นที่ให้แสดงเฉพาะย่านรัชดา หรือใกล้เคียง เพราะคนที่ค้นหาเค้าต้องการกินทันที ช่องทางนี้จะรอบรับลูกค้าที่มีความต้องการแล้ว เราเพียงแค่ไปเติมเต็มความต้องการของเขาบน Google แต่จำนวนคนเหล่านี้อาจไม่สูงมาก ดังนั้นอีกช่องทางที่จำเป็นคือ Facebook
สำหรับช่องทาง Facebook โฆษณารอบเดียว คนเห็นครั้งเดียวคงไม่พอที่จะให้คนตามไปกิน เว้นแต่โฆษณาชวนให้หิวจริงๆ ดังนั้นควรลงโพสต์ที่เป็นวีดีโอ ทำยังไงก็ได้ให้มันดูแล้ว หิวที่สุด เพราะอย่าลืมว่าเรากำลัง สร้างความต้องการ (ลองไปดูตัวอย่างวีดีโอหิวๆ ได้ที่ https://tasty.co/) ยิงโฆษณาไปสักระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1-2 อาทิตย์ อย่างยิงแค่ 2 วันหยุด อาทิตย์ต่อไปก็ให้ลงวีดีโอเมนูอื่นบ้าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อคนเห็นเมนูน่ากินใหม่ๆ และชื่อร้านบ่อยๆ ก็จะมีโอกาสที่เค้าอยากไปลองด้วยตัวเอง
เคสที่ 2: บริการจัดสวนตามบ้าน
จากที่ให้บริการมา ลูกค้าของธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมาจาก Google เพราะการจัดสวนไม่ใช่บริการที่คนจะใช้กันบ่อยๆ หรือจะสามารถสร้างความต้องการกันง่ายๆ ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะค้นหาบน Google เพื่อหาข้อมูลเมื่อมีความต้องการ หรือสนใจในบริหารนี้
ดังนั้นช่องทางหลักในการทำเงินก็จะเป็น Google โดยที่เจ้าของร้านอาจลองลงงบโฆษณา 80% ไปที่ Google และอีก 20% ไปที่ Facebook โดยใช้ Facebook ทำโฆษณาแบบ Remarketing ซ้ำไปยังคนที่เข้าเว็บไซต์ผ่าน Google แต่ยังไม่ตัดสินใจ โฆษณาอาจจะเป็นตัวอย่างผลงานการจัดสวนสวยๆ ของทางร้านก็ได้ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายสำหรับลูกค้าที่กำลังลังเล
แล้วโฆษณาบน Facebook แบบ Boost Post ทั่วๆ ไปล่ะ? ทำได้เหมือนกัน แต่ต้องมีงบโฆษณาระดับหนึ่ง และต้องเข้าใจว่ายิงโฆษณาไปหนึ่งเดือน ลูกค้าที่เข้ามาอาจไม่เยอะเท่า Google (เทียบในจำนวนงบโฆษณาที่เท่ากัน) เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่คุณเลือก (เช่น ผู้ที่สนใจในการจัดสวน) ไม่ใช่ว่า 100% ต้องการจัดสวน เจ้าของร้านบางท่านอาจบอกว่า “ก็เผื่อเค้าจะสนใจในวันข้างหน้า” คิดถูกครับ แต่ก็อย่างที่บอกว่า การเห็นโฆษณา 1 ครั้ง ไม่ทำให้เค้าจำคุณได้ คุณต้องยิ่งโฆษณาไปที่คนๆ จำนวนมาก จนกว่าวันหนึ่งเค้าต้องการจัดสวน (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่)
เพราะฉนั้นโจทย์ข้อนี้ สำหรับร้านขนาดเล็กถึงกลางที่งบโฆษณายังมีจำกัด แนะนำให้โฟกัสไปที่ Google ครับ หากมีงบโฆษณาเพิ่ม พร้อมที่จะมาสร้าง Content ดีๆ บน Facebook ก็สามารถลุยได้เลย!
แชร์ความรู้นี้บน Social Media