Algorithm ของ Google มีการเปลี่ยนแปลงและอัปเดตตลอดเวลา โดยใครได้เข้ามาคลุกคลีกับการทำ SEO หรือได้พูดคุยกับบริษัทรับทำ SEO มาอย่างน้อย 4-5 ปี จะเห็นเลยว่าทาง Google มีการปรับเปลี่ยน Algorithm มามากพอสมควร อันดับก็มีขึ้นๆ ลงๆ หรือบางเว็บไซต์ที่อันดับตกลงเลยก็มี วิธีทำ SEO แบบเดิมๆ จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ โดยเฉพาะในปี 2024 ที่มีแนวทางในการทำ SEO ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
แต่รู้หรือเปล่า จากสถิติจากทาง Pacy Media เว็บไซต์ที่ทำ SEO ในแบบที่ถูกต้องตามหลักและแนวทางของ Google นั้น จะได้รับผลกระทบต่อ Algorithm ที่เปลี่ยนไปน้อยมากๆ ซึ่งที่ Pacy Media เราได้เก็บสถิติของเว็บไซต์ลูกค้าที่ได้ให้บริการทำ SEO ถูกต้องตามเกณฑ์ของ Google หรือที่เรียกว่า SEO สายขาว มาอย่างต่อเนื่อง พบว่า 90% ของเว็บไซต์ที่เน้นการโฟกัสเรื่อง SEO ตั้งแต่ Day 1 ในการเริ่มพัฒนาเว็บไซต์ จะมีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดีอย่างต่อเนื่องถึงแม้มีการปรับ Algorithm ก็ตาม อัตราการแกว่งของอันดับก็จะไม่ค่อยสูง เทียบกับเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO แบบผิดกฎของ Google มาก่อนหน้า เช่น การทำ Backlink ที่ไม่มีคุณภาพ การทำลิงก์สแปม การเขียนเนื้อหาที่คุณภาพต่ำ โอกาสในการแกว่งตัวของอันจะสูงกว่าเมื่อมีการอัปเดต Algorithm ซึ่งอาจต้องเพิ่มกลยุทธ์ด้าน Techincal รวมถึงการ Revamp เว็บไซต์เพื่อแก้เกม
หัวใจสำคัญของ Search Engine ที่ชื่อว่า Google
หากใครที่ทำ SEO ด้วยวิธีการสแปมหรือหาจุดโหว่ของ Algorithm เพื่อไปปั่นอันดับ เวลามีการปรับ Algorithm ที ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบ เพราะยังไง Google ก็จะหาวิธีมาป้องกันการปั่นอันดับจนได้
แต่ถ้าทำ SEO โดยการยึดถึงหัวใจสำคัญของ Google ก็จะทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นยั่งยืนในระระยาว ซึ่งในปี 2024 นี้ Google ได้ประกาศ 3 หัวใจสำคัญมาอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำแนวทางของการพิจารณาเว็บไซต์มาขึ้นบนหน้า Google ในอนาคต ซึ่งคือ Helpful, Reliable และ People-first Content
หากเราสามารถยึดแนวทางในการทำ SEO ด้วย 3 หลักนี้ โอกาสที่อันดับจะดรอปลงหนักๆ ก็จะค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเว็บไซต์พัฒนาขึ้นตาม SEO Guideline ซึ่งที่ทาง Pacy Media ได้ทดสอบจากการเริ่มพัฒนาเว็บไซต์ด้วยแนวทั้งนี้ตั้งแต่วันแรก มีโอกาสเพียง 10%-25% ของ Keyword ที่อาจเกิดการแกว่งตัวของอันดับได้
ตัวอย่างสิ่งที่เราให้ความสำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ เช่น การวางโครงสร้างเว็บ การวางโครงสร้างเนื้อหาที่กระตุ้น Engagement บนเว็บไซต์ และการวางแผนเรื่องการทำคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเว็บไซต์ด้วย WordPress, Laravel หรือ Framework ต่างๆ
3 แนวทางที่ Google จะนำมาใช้ในการทำ SEO
Google ได้แจ้งว่าการอัปเดต Algorithm ในแต่ละครั้งจะเป็นการคัดกรองเว็บไซต์ที่มีคุณภาพมาเพื่อแสดงผลบน SERP (Seach Engine Result Page) ให้ตอบโจทย์ Search Intent โดยหากเว็บไซต์ไหนที่ทำตาม 3 แนวทางนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับการอัปเดตใหม่ๆ (อาจมีกระทบบ้างแต่ไม่เยอะ)
Helpful
เว็บไซต์ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเรื่องคอนเทนต์บนเว็บไซต์ ทั้งเนื้อหา และรูปแบบ อีกครั้งต้องเป็นเนื้อหาที่อัปเดต ไม่ซ้ำใคร ซึ่งถ้าใครไปหลอกระบบ เช่น เอาบทความเก่ามาเปลี่ยนวันที่เป็นวันนี้ ระบบก็จะรู้และอาจทำให้เว็บไซต์นั้นมีคุณภาพต่ำลงในสายตาของ Google หรือไปคัดลอกบทความของเว็บไซต์อื่น และไปใช้ AI ให้เปลี่ยนคำใหม่ ก็มีโอกาสถูก Google จับผิดได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ หากเว็บไซต์นั้นการถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์เยอะก็จะทำให้ถูกมองว่ามีประโยชน์ได้เช่นกัน แต่ต้องให้เป็นไปโดยธรรมชาติ เช่น หากเป็นเว็บไซต์ E-commerce ที่มีระบบ Product Review แล้วเราไปปลอมรีวิวเอง Google ก็จะจับได้และถูกมองว่าเป็นสแปม
Reliable
เว็บไซต์นั้นต้องมีความน่าเชื่อถือ ข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ต้องเชื่อถือได้ ไม่เขียนขึ้นมามั่วๆ เช่นหากเทียบเว็บไซต์ที่เขียนเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ Google มักจะมองว่าเว็บไซต์โรงพยาบาลนั้นมีความน่าเชื่อถือสูง เช่น หากลองค้นหาว่า ไส้ติ่งอักเสบ จะเจอแต่เว็บไซต์โรงพยาบาลขึ้นมา ซึ่งหากใครกำลังทำเว็บไซต์แนวสื่อด้านสุขภาพ แล้วอยากติดหน้าแรกใน Keyword นี้ ก็บอกได้เลยว่ามีความเป็นไปได้ยาก แต่หากเป็นเว็บไซต์คลินิกก็จะยังมีความเป็นไปได้มากกว่า
เว้นแต่ใน Keyword นั้นๆ เว็บไซต์โรงพยาบาลอาจไม่ได้โฟกัส หรือยังไม่ได้ปรับแต่งด้าน SEO มากนัก ก็มีโอกาสที่เว็บสื่อด้านสุขภาพจะมาทำอันดับได้ แต่เว็บไซต์สื่อนั้นจะต้องทำให้ Google มองว่าน่าเชื่อถือให้ได้ โดยหากพูดในด้านเทคนิคของการทำ SEO ก็จะมีวิธีอยู่บ้างที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น การทำให้ Google มองว่าเป็น Expert จริง มาจากทีมผู้เขียนที่เชี่ยวชาญจริง
People-first Content
เนื้อหาและเว็บไซต์ต้องทำมาเพื่อให้คนใช้งานจริงๆ ฟังดูแปลกๆ แต่จริง เพราะบางเว็บไซต์สร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ให้ Google Bot เข้ามาอ่านเป็นหลัก เพื่อให้ได้ติดอันดับ SEO แต่ในยุคนี้ Google มองลึกขึ้น โดยถ้าเว็บไซต์ไหนเน้นเขียนเว็บ เขียนเนื้อหา เพื่อให้ Bot อ่านอย่างเดียว ไม่แคร์ผู้ใช้ Google ก็จะเริ่มมองว่าไม่เป็นประโยชน์แล้ว
เช่น เดิมที่ Google ชอบบทความที่มีเนื้อหายาวๆ หลายเว็บไซต์ก็กระหน่ำเขียนกันยาวเหยียด หรืออาจใช้ AI มาช่วยเขียน แต่ตอนนี้ Google ไม่ได้โฟกัสเรื่องความยาวอย่างเดียว แต่ต้องเป็นประโยชน์ และอ่านง่ายด้วย ซึ่ง UX/UI ก็จะเข้ามามีความสำคัญเช่นกันในการวัดผลด้าน Engagement ของหน้านั้นๆ ดังนั้นการทำ SEO ในยุคนี้ก็จะเป็นที่จะต้องติดตั้งเครื่องมือวัดผลต่างๆ อย่างน้อยเลยก็ต้องมี Google Analytics (GA4) และ Google Tag Manager
แชร์ความรู้นี้บน Social Media